บทที่ 1 สหัสวรรษ- - 2000 (Millennium) - -

เลขที่น่ารัก น่ากลัว หรือ น่าเกลียด!?

 

ทำไมต้องเป็นเลข 2000?

ข้อนี้ก็ยังไม่มีใครบอกได้อย่างถ่องแท้ ว่าปี 2000 มันอะไรนักหนาหนอ พลโลกถึงได้ตระหนกวิตกจริตกันนักกันหนา ทั้งที่จะว่าไปแล้วตัวเลข 2000 ก็ออกจะสวยไม่เบาเลยทีเดียว

ความเชื่อในตัวเลขกลมๆ แบบนี้มีปรากฎชัดในคติความเชื่อของพลโลกที่นับถือศาสนาคริสต์

ว่ากันว่า 2000 นี้เป็นตัวเลขแห่งความร้อนแรง ถึงขนาดกันฟันธงเลยว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัว- ต่อของการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 สงครามระหว่างดวงดาวกันเลยทีเดียว นั่น… บางสำนักก็ป่าวประกาศเลยว่า – พ้นยุคนี้ไปอีกไม่กี่ปี… โลกก็จะถึงคราวแตกดับพินาศสิ้น

นักอนาคตศาสตร์แห่งโลกหลายต่อหลายคน ประกาศชี้ชัดออกมาเลยว่า ช่วงคริสตศักราช 2000-2100 ถือเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้มีทั้งพัฒนาและหายนะ

ถ้าพูดกันทำนองนี้ โหราศาสตร์ก็จะเริ่มเข้ามามีบทบาทอย่างมาก ซึ่งถ้าคนไหนก็ตามมีความศรัทธา พร้อมจะเชื่ออยู่แล้ว ก็อาจถูกครอบงำได้โดยง่าย อาจถึงขนาดหลงงมงายกันไปพัก - ใหญ่ ความหลงนำไปสู่ความมืดบอด สุดท้ายก็จะมีแต่ความโง่เขลา เบาปัญญา อวิชชาจะเด่นสง่า การไตร่ตรองพินิจพิจารณาด้วยปัญญาก็จะหมดไป

ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง …

ประชากรโลกทั้งหลายทั้งปวงก็คงพากันดิ่งลงเหวลงนรก ไม่มีวันได้ผุดได้เกิด

มวลมนุษยชาติจะหาความสงบสุขใดๆ ไม่ได้อีกต่อไป

ถึงเวลานั้น โลกไม่แตกก็คงเสมือนหนึ่งว่าแตก จะหาข้อดีอันใดบนโลกเป็นไม่มีอีกต่อไป … มนุษย์บนโลกคงพากันผูกคอตาย ไม่มีใครอยากดิ้นรน ให้มีชีวิตรอดอยู่บนโลกสับปะรังเคนี้ต่อไปอีก

ลองไตร่ตรองให้ดี

เรื่องโลกแตก น้ำท่วมโลก ไฟประลัยกัลป์ท่วมโลกก็มีมาให้ได้ยิน ได้เห็น ได้ฟัง โดยตลอด

ล่าสุด ที่ปรากฏเป็นเรื่องเป็นราว เป็นจริงเป็นจังก็คงจะเป็น ช่วงปีพุทธศักราช 2525 ( ที่มี

สโลแกน เชิญชวนให้แตกตื่นกัน ทั้งประเทศไทยว่า - - 2525 โลกาวินาศ) ตอนนั้นก็เห็นระส่ำระ- ส่ายกันแบบเดียวกับตอนนี้ ผู้คนเริ่มเบื่อหน่ายในการมีชีวิตมากขึ้น หมดอาลัยตายอยาก วันๆ ก็พากันคุยเรื่องโลกแตก ไม่อยากทำมาหากินอะไรอีกแล้ว เอาแค่กิน กินแล้วก็นอน เพราะไม่รู้ว่าจะทำมาหากินไปทำไม ผลสุดท้ายก็ตายหมด

แต่เอาเข้าจริง พ . ศ. 2525 โลกก็ไม่แตก

เมืองไทยก็ยังคงอยู่

คนไทยก็ยังอยู่

อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ และมีทีท่าว่าจะอยู่ต่อไปอีกนานแสนนาน

คุณคงได้ยินบ่อยว่า สักวันหนึ่ง … ประเทศไทยจะหายไปจากแผนที่ บ้านเมืองเราจะจมอยู่ใต้น้ำ กลายเป็นเมืองบาดาล หลายจังหวัดจะหายไปจากโลก ร่ำลือกันอย่างสนุกปาก แล้วสุดท้ายก็มานั่งหวาดกลัว วิตกจริตกับเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิด สร้างภาพหลอกตัวเอง ให้รู้สึกกลัวไปต่างๆ นานา

ใครฟังคนอื่นเล่าลือ และเชื่อถือถ้อยคำลมปากของคนโน้นคนนี้อย่างสนิทใจล่ะก็ คงหาความสุขในชีวิตไม่ได้

เอาแค่เรื่องโลกแตกเรื่องเดียว ในประเทศไทยประเทศเดียว คนไทยทั้งหมดต่างก็พากันแตกตื่น คิดกันไปได้ต่างๆ นานา

ถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนประเภทที่ว่านี้

และชอบป่าวประกาศตัวเองว่าเป็น “ ชาวพุทธ”

คุณก็นับเป็นชาวพุทธที่ใช้ไม่ค่อยได้ - - ไม่ถือเป็น “ พุทธะ” ที่แท้จริง ซึ่งถ้าคุณเข้าใจคำ- สอนของพระพุทธเจ้าถ่องแท้เสียแล้ว คุณจะไม่ทุกข์ร้อนกับคำร่ำลือเล่าขานประเภทนี้ เพราะแม้แต่นักวิชาการที่เก่งกาจเพียงใดก็ตาม ก็ไม่มีใครบังอาจล่วงรู้อนาคตได้ล่วงหน้า ราวมีตาทิพย์ส่องเห็นชัดเจน

กาลามสูตร 10 ประการ ของพระพุทธเจ้าจึงยังคงเป็นเรื่องที่ทันสมัย มาตราบจนกระทั่งทุกวันนี้

และเชื่อเถอะว่า กาลามสูตรจะยังคงอยู่ … เป็นความจริงสากลตลอดกาล ไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธ ถึงแม้โลกจะแตกไปแล้วจริงๆ กาลามสูตรแห่งองค์พระศาสดาก็จะยังคงอยู่ตลอดไป… เป็นสัจจะอันอมตะไม่มีวันตาย

ดังนั้นกฎข้อแรก … ในการดำรงชีพให้มีความสุขในปี 2000 คือ ท่องไว้เลยว่า “ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ไม่มีใครไปห้ามได้…”

การกระทำกรรมดี ย่อมได้ผลลัพธ์ที่ดี

ถ้าแม้ทำกรรมชั่ว ผลตอบแทนตามมาย่อมชั่วเสมอ

ไม่ว่าใครหน้าไหน ก็ไม่อาจละเว้นกฎธรรมชาติข้อนี้ได้

สหัสวรรษ จะไม่เป็นเรื่องอันตรายน่ากลัวแต่อย่างใด สำหรับบุคคลที่กระทำกรรมดี

เชื่อเถอะว่า … กรรมดี สามารถทำให้อะไรที่ดูเหมือนเลวร้ายถึงที่สุด กลับกลายเป็นดีขึ้นมาได้อย่างประหลาด

แต่นั่นก็หาใช่ เรื่องประหลาด … แต่อย่างใด

เป็นข้อความจริงที่ทุกคนควรจะทำความเข้าใจให้ถ่องแท้

นักอนาคตศาสตร์ได้คาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้า จากปี ค . ศ. 2000-2100 ไว้ (Kelly, 1990) โดยมีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้คือ

 

ปี 2000 การผสมผสานระหว่างเทววิทยาและวิทยาศาสตร์

 

จะมีการผสมรวมกันระหว่างศาสนาและวิทยาศาสตร์อย่างประณีต และมีระเบียบแบบแผน การรวมครั้งนี้จะมีผลทำให้ มนุษยชาติก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

 

ปี 2010 พฤติกรรมสากล

 

มีการกำหนดข้อตกลงร่วมกัน โดยมีความเป็นสากลมากขึ้น เกิดลัทธิไอน์สไตน์ใหม่

 

ปี 2040 โรคภัยของมนุษย์

 

มีพัฒนาก้าวกระโดดในเรื่องการบำบัดรักษา วิทยาการทางการแพทย์ ขบวนการกลไกของโรคภัยไข้เจ็บ ไม่เน้นเรื่องการรักษา (Treatment) แต่จะปรับเปลี่ยนเป็นการป้องกัน (Prevention) ไม่ให้เกิดโรค

 

ปี 2070 ทฤษฎีรวม

 

มีการเปลี่ยนแปลงนิยามของทฤษฎีเซลล์ (Cell Theory) ความเชื่อเก่าๆ เกี่ยวกับเซลล์และชีวิตจะถูกลบล้าง แต่เมื่อยิ่งค้นพบสิ่งใหม่ๆ ก็จะพิศวงว่า ช่างตรงกับศาสนาพุทธอย่างน่าอัศจรรย์ จนมีบางคนคิดทำโคลนนิ่งพระพุทธเจ้า เพื่อให้พระพุทธเจ้าประสูติใหม่อีกครั้งหนึ่ง วิทยาศาสตร์และพุทธศาสนาจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว

 

ปี 2100 สตรีที่โลกลืม

 

การต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของสตรีจะดุเดือดเข้มข้น สตรีจะเป็นฝ่ายชนะบุรุษ ถึงขนาดที่ว่าสตรีอาจครองโลก โลกจะเต็มไปด้วยผู้หญิง… ผู้หญิงและผู้หญิง การทำกีฟ (Gift Technique) การทำเด็กหลอดแก้ว (Test-tube Baby) การทำโคลนมนุษย์ (Human Clonning) จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของมนุษย์ทุกคน ชุดทำโคลนนิ่ง (Clonning Bio Kid) จะมีขายทั่วไปในร้านโชวห่วย ( แบบแฟรนชายส์) ทั่วทุกมุมถนน ถึงยุคที่ผู้หญิงไม่ง้อผู้ชาย สตรีจะเป็นทั้งหมด… และเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง

 

ปี 2000 จะเป็นยุคเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของสังคม การเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา เทคโนโลยี และทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้น กลับกลายเป็นจริง ซึ่งจะได้กล่าวถึงในบทต่อไป…

 

 

 

 

บทที่ 2 สหัสวรรษแห่งสังคมใหม่

 

การก้าวย่างเข้าสู่วันที่ 1 มกราคม 2000 จะมีความหมายต่อความเป็นอยู่ของมวลมนุษยชาติอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงของหลายสิ่งหลายอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แบบก้าวกระโดด (Jumping Adaptation) มนุษย์ทุกคนตระหนักดีว่า ปี 2000 จะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาชีวิตเข้าสู่วงจรแห่งการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่… สังคมจะพลิกโฉมหน้าและบทบาทใหม่ อย่างที่ไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาได้อย่างถูกต้องแม่นยำว่า สังคมใหม่จะดีหรือเลวกว่าเดิมเพียงใด

มนุษย์ทุกซีกโลกจะให้ความสำคัญต่อวินาทีในคืนสุดท้ายของวันที่ 31 ธันวาคม 1999 เพราะการนับถอยหลังครั้งนี้ (Final Count Down) อาจเป็นการพลิกผันชะตาชีวิตของคนจำนวนหลายล้านบนโลก

แน่นอนที่ว่า…

มนุษย์ทุกผู้ทุกนามย่อมปรารถนาให้ สังคมใหม่ในสหัสวรรษจะมีคุณภาพดีกว่าสังคมเดิมที่เคยเป็นมา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่มีใครคนใดคนหนึ่ง สามารถกำหนดหรือชี้ชัดไปได้ว่า สังคมใหม่จะมีโฉมหน้าอย่างไร?!

แต่อย่างไรก็ตาม มนุษย์ทุกคนต่างหวังและภาวนาให้ชีวิตรอดปลอดภัย มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง สุขภาพจิตสมบูรณ์ มีเงินมีทองใช้สอยจับจ่ายตามความต้องการ ซึ่งบางคนก็จะได้ดังหวัง ( ถ้าไม่หวังสูงเกินไปนัก) แต่จำนวนคนผิดหวังย่อมจะมีมากกว่าเป็นธรรมดา

มนุษย์ในยุคสหัสวรรษจะให้ความสนใจจริงจังกับการเปลี่ยนแปลงของหัวข้อหลักๆ เพียงไม่กี่เรื่อง อาทิ การแพทย์แผนอนาคต การมีชีวิตยืนยาว ถ้าสามารถเป็นอมตะได้ด้วยยิ่งดี ลัทธิการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีใหม่กับภูมิปัญญาระดับชาวบ้าน (Technotribalism) การแสวงหาความเป็นอยู่แบบง่ายๆ แต่มีชีวิตที่สุขสบายกว่าก่อน การปฏิวัติที่อยู่อาศัย ลดความเชื่องมงายที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ การให้ความสำคัญต่อครอบครัว การก้าวล้ำสู่อดีตกาล ฯลฯ เหล่านี้คือความสนใจหลักๆ ที่มนุษย์ยุคสหัสวรรษจะโหยหา (Grolier, 1994)

การดำรงชีพโดยเป็นระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงจะมีความสำคัญมากขึ้น รัฐหรือประเทศใดที่มีการจัดการแบบนี้ได้ดี รัฐนั้นก็จะอยู่รอดอย่างดี เกือบทุกรัฐมีความพยายามชักพาให้รัฐพัฒนาก้าวล่วงเข้าสู่ยุคที่เงินไม่มีความสำคัญ เงินจะไม่ใช่พระเจ้าอีกต่อไป แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร

 

ระบบเศรษฐกิจในสังคมใหม่

 

และแม้ว่ามนุษย์จะเดินทางล่วงเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ ในยุคที่มีการอดออม ใช้จ่ายทรัพยากรธรรมชาติอย่างประหยัด เงินก็ยังคงมีอำนาจ สามารถต่อรองได้ดังเดิม ใครมีเงินมากใน

มือก็จะมีอำนาจต่อรองมาก ใครจนก็จะอยู่อย่างกระเบียดกระเสียรอย่างประหยัดที่สุด ยืนยันว่า … เงินยังคงพูดได้ (Money Talk) ง้างทุกอย่างได้เหมือนเดิม

ในยุคก่อน ย้อนหลังไปสัก 20-50 ปี ในสังคมตะวันตก ช่วงที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrialized Revolution) สังคมดังกล่าว ได้มุ่งเน้นการพัฒนาประเทศเพื่อลงทุนและยกระดับประเทศให้พัฒนาเข้าสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมหนัก ในการพัฒนายุคนั้น เป็นยุคที่สร้างความล่มสลายให้แก่ภาคเกษตร คนชนบทต้องหนีตายจากชนบทเข้ามาหางานทำในเมือง เช่นเดียวกับที่ปรากฏในสังคมไทยสมัยปัจจุบัน

ผลร้ายที่เกิดขึ้นคือ…

มุมมองในแง่ลบ

ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลายเป็นสินค้าไปหมด

คนเป็นสินค้า

การบริการเป็นสินค้า

ธรรมชาติเป็นสินค้า

คำว่า “ น้ำใจ” “ มิตรไมตรี” หรือ “ การเกื้อกูล” ได้หายไปจากสังคมโดยสิ้นเชิง

นั่นเพราะคนในสังคมอุตสาหกรรมจะมองแต่ผิวเผินเพียงว่า มนุษย์อยู่เหนือธรรมชาติ มนุษย์สามารถทำได้ทุกอย่าง มนุษย์รู้สึกว่าตนวิเศษกว่าธรรมชาติ เมื่อเห็นตรงกันมากๆ เข้า และเมื่อมีการซึมซับระหว่างกันและกัน… วัฒนธรรมแบบที่ว่านี้จึงนับเป็นวัฒนธรรมที่มองคุณค่า (Value) ของมนุษย์และธรรมชาติไว้เพียงการเป็นปัจจัยที่ใช้สำหรับสร้างให้เกิดผลกำไร (Profit) สูงสุดเข้าตัวเอง (Unesco, 1990)

นั่นคือ วัฒนธรรมของสังคมจะนำมนุษย์ไปสู่ความตกต่ำอย่างถึงที่สุด

ลัทธิบริโภควัตถุนิยมจะเป็นใหญ่

จิตใจจะเป็นเรื่องของความหยาบกระด้าง ไร้ความหมายที่จะคำนึงถึง

ข้อเสียนี้คือ สิ่งที่มนุษย์ยุคสหัสวรรษรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์และต้องการปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ไม่มีมนุษย์คนใดต้องการให้สังคมใหม่ก้าวล่วงเข้าสู่ร่องรอยแบบเดิมๆ

แต่บางครั้ง คนเราก็ไม่อาจเลือกอะไรได้ดั่งใจปรารถนาทุกประการ

ดังนั้น… แม้ว่าจะล่วงเข้าสู่ 2000 ทุกอย่างจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ระบบของสังคมจะยังคงมองบทบาทของคนและธรรมชาติเช่นเดิม จะต่างกันตรงที่รายละเอียด กลไกและความเป็นระเบียบของสังคม… คนและธรรมชาติจะยังคงมีบทบาทต่อทุกสังคม ไม่เว้นแม้กระทั่งสังคมของสัตว์หรือพืช

 

 

 

แนวทางการใช้สังคมใหม่โน้มนำการปรับตัวของระบบเศรษฐกิจ

 

การเปลี่ยนแปลงของสังคมใหม่จะมุ่งเน้นเฉพาะทางเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่ได้อีกต่อไป มนุษยชาติเริ่มตระหนักมากขึ้นว่า ทุกระบบและบุคคลใดมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม ระบบเศรษฐกิจก็เช่นเดียวกัน ย่อมมีความสัมพันธ์ต่อระบบอื่นๆ อีกร้อย - แปดพันประการ เช่น ถ้าเศรษฐกิจโตอย่างเดียว แต่ระบบการศึกษาของคนในชาติกลับอ่อนด้อย ก็ไม่ต่างอะไรจากปิระมิดกลับหัว สักวันก็จะล้มครืนพังพินาศกันได้ง่ายๆ หรืออุปมาก็ดั่ง คนที่หัวโต ตัวลีบ แขนขาเล็กลีบ ฝ่อ ไม่มีแรงนั่นแล สมองที่คิดเรื่องเงินโตเพียงอย่างเดียว แต่กล้ามเนื้อแขนขาไม่ทำงาน ลีบเล็กอีกต่างหาก ต่อไปก็คงไม่พ้นคำว่า “ โง่ทั้งชาติ”

สังคมใหม่ที่ดีจะต้องใช้ระบบการศึกษานำ ประเทศใดที่มีประชากรที่มีคุณภาพทางความคิดมากๆ ประเทศนั้นก็จะมีการพัฒนาสู่หนทางที่ดี แต่ถ้าประเทศใดก็ตามเต็มไปด้วยประชากรที่ไร้การศึกษา สังคมใหม่ของประเทศนั้นก็จะอ่อนเปลี้ยเสียหายได้โดยง่าย

จุดหักเหของสังคมไทย เริ่มต้นเมื่อช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยว่ากันว่าสนธิสัญญาเบาริ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อระบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจของสังคมไทย ซึ่งทำให้มีผลต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และจะยังคงมีอิทธิพลต่อไปจนล่วงเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ สิ่งทีมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด คือ ลักษณะของรูปแบบในการดำเนินการทางเศรษฐกิจ

รูปแบบการรุกรานทางเศรษฐกิจในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ ลักษณะของการล่าอาณานิคม ซึ่งรูปแบบที่ว่านี้ ทำให้เอกลักษณ์ (Unique) ของรัฐที่เป็นอาณานิคมมีการเปลี่ยนแปลงและแปรผันตามรูปแบบของประเทศที่เข้าไปปกครอง

ถ้าประเทศที่เข้าครอบครองมองเห็นอนาคตว่า ทุกประเทศต้องเจริญด้วยกัน เติบโตไปพร้อมกัน อาณานิคมนั้นก็จะถูกพัฒนา เปลี่ยนแปลงไปสู่ความเจริญ แต่ถ้าประเทศที่เข้าครอบครองเห็นแกได้ เอาแต่กอบโกยประโยชน์เข้าแก่ตัวเองฝ่ายเดียว อาณานิคมนั้นก็ลำบาก ยากจะลืมตาอ้าปาก หรือพัฒนาประเทศไปในทิศทางของความเจริญได้ ตัวอย่างของสังคมรูปแบบนี้ที่สามารถเห็นได้ชัด คือ เกาะฮ่องกง สิงคโปร์กับประเทศลาว เขมร ซึ่งไม่ต้องบอกรายละเอียดมาก ก็คงพอนึกภาพออกว่า สังคมใดดีเลวกว่ากันมากน้อยเพียงไร.. ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะอิทธิพลของการล่าอาณานิคม

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกเริ่มเย็นลง สังคมโลกเริ่มใช้วิธีปกครองระหว่างรัฐด้วยวิธีสันติมากขึ้น อาศัยบทระเบียบในการปกครองมากกว่าจะใช้กำลังบังคับแบบเดิมที่อาศัยแนวลัทธิล่าอาณานิคมเป็นหลัก

ประเทศมหาอำนาจในโลกทั้งหลายเริ่มวางแผนการและแนวคิดที่จะสร้าง “ ระบบตลาดโลก” ขึ้นมา โดยมีการควบคุมระบบเศรษฐกิจโลกผ่าน 3 สถาบันสำคัญ คือ

ซึ่งผลการดำเนินการของ 3 องค์กรเป็นไปอย่างไรก็เห็นๆ กันอยู่ นั่นคือ ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจทั่วโลกมีสภาพปั่นป่วนไปหมด ทุกประเทศหาได้มีความเป็นอยู่เท่าเทียมกันไม่ คนผิวขาวยังคงเป็นเจ้าอำนาจ มีบทบาทเหนือคนเอเชียและคนดำ

แต่ชัยชนะของตะวันตกนั้นก็ไม่ได้โปร่งใส หรือขาวสะอาดทั้งหมด

ในเมื่อประเทศกลุ่มโลกที่ 3 ต้องรับผลกระทบจากความตกต่ำทางระบบเศรษฐกิจ พลเมืองวิตก เดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ประเทศมหาอำนาจทั้งหลายที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้คุมระบบเศรษฐกิจโลกก็ต้องตกที่นั่งลำบาก ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจไม่แพ้กัน หนำซ้ำบางประเทศ เช่น อเมริกา ซึ่งเป็นหัวหอกในการเริ่มต้นสงครามเศรษฐกิจที่ทำให้พลโลกเดือดร้อนทั่วหน้า อเมริกาเองก็กลับโดนภัยธรรมชาติเล่นงานจนเสียหายยับเยินไม่แพ้กัน เช่น กรณีน้ำท่วมใหญ่ในปี พศ. 2541 ในมลรัฐฟลอริดา

กรรมตามทันตา ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า ชาตินี้ก็เห็นๆ ปรากฏกันอยู่อย่างชัดแจ้ง

การที่ระบบเศรษฐกิจของประเทศกลุ่มโลกที่ 3 ตกต่ำ ทำให้กำลังซื้อของประเทศเหล่านี้ ที่เคยมีต่อประเทศมหาอำนาจลดลงอย่างเห็นได้ชัด และปัญหาสังคมก็ตามมาอีกเป็นกระพรวน อาทิเช่น ปัญหาการตกงาน การไหลทะลักของแรงงานจากชนบทสู่เมือง การปล้นชิงวิ่งราว การขาดแคลนอาหาร การบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติ การเสียสุขภาพจิตของประชาชน นำไปสู่ปัญหาการฆ่าตัวตายหมู่ เกิดลัทธิแปลกประหลาดเพื่อการมอมเมาเฉพาะกิจขึ้นมาอีกนับไม่ถ้วน

นั่นแปลว่า การพัฒนาสังคมโลกโดยใช้เศรษฐกิจนำไม่ใช่สิ่งที่ได้ผล อาจเป็นวิธีการที่เห็นผลเร็วที่สุดในระยะแรก คือสามารถฟื้นสภาพคล่องให้มีการถ่ายเทของเงินตรา หรือกระตุ้นให้เกิดบรรยากาศในการลงทุนมากขึ้น แต่สำหรับระยะยาวแล้ว การพัฒนาสังคมโลกต้องตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพลโลก ทุกส่วนของโลกต้องพัฒนาไปด้วยกัน ไม่มีการแบ่งผิวพรรณ เชื้อชาติ ศาสนา ทุกคนต้องยึดหลักที่ว่า มนุษย์ทุกผู้ทุกนามตั้งอยู่บนกองทุกข์เดียวกัน ไม่ใช่ว่าทุกคนรักกันดุจดั่งพี่น้องร่วมอุทร เพราะความสัมพันธ์ฉันพี่น้องยังมีการทะเลาะเบาะ - แว้งไม่ลงรอยกัน แต่ถ้าเรารู้ว่าสุดท้ายแล้ว มนุษย์ทุกคนร่วมทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น นั่นจะทำให้มนุษย์เกิดความรักในกันและกัน อานุภาพแห่งความรักก็จะแพร่กระจายออกไปเรื่อยๆ สังคมใหม่ที่เราทุกคนต้องการ จะเกิดขึ้นจริง บนพื้นฐานแห่งชีวิตที่สงบสุข สันติภาพ รักใคร่เกื้อกูล ปรองดองกันเป็นหนึ่งเดียว (Unity)

 

การทำนายโครงสร้างสังคมใหม่

 

สังคมใหม่ของประเทศไทยและของโลกย่อมแปรผันตามวงล้อของมิติเวลา

ศตวรรษที่ 21 จะเป็นการชี้ชะตาของชาวโลกอย่างแท้จริง

มีคำถามที่น่าสนใจที่ว่า … ถ้าในช่วง 2000-2099 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้นจริงๆ ล่ะ?! จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรต่อสังคมใหม่บนโลกบ้าง???

โลกจะถึงกาลแตกดับด้วยอานุภาพของระเบิดนิวเคลียร์ไหม ?

หรือว่าโลกจะยังคงอยู่ แต่มนุษย์ตายหมด - - ตึกรามบ้านช่องยังอยู่ คนและสิ่งมีชีวิตอื่นตายหมดด้วยอานุภาพของอาวุธชีวภาพ เมื่อสงครามเชื้อโรคอุบัติขึ้น มนุษย์เท่านั้นจะหมดลมหายใจ แต่วัตถุทั้งหลายจะยังคงปรากฏอยู่

เพียงแค่นี้ มนุษย์ที่เหลือรอดจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ?

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะมีบทบาทอย่างยิ่ง ต่อการเรียงตัวขององค์กรต่างๆ ในสังคมใหม่

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะเป็นศูนย์กลางของปัจจัยทั้งหลายทั้งปวงที่ล้อมรอบอยู่ ซึ่งได้แก่

อย่างไรก็ตาม มนุษย์ส่วนใหญ่จะเริ่มมีการทบทวนบทบาทของ “ ความเป็นมนุษย์” (Humanness) มากขึ้น คำนึงถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์มากขึ้น หมดยุคอุตสาหกรรม (Industrialized Age) โดยสิ้นเชิง สังคมใหม่จะเป็นสังคมแบบที่เรียกว่า Global Humanity โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวไทยจะเข้าใจในรัฐธรรมนูญและตัวบทกฏหมายมากขึ้น โดยให้ความสำคัญต่อคำว่า “ ศักดิ์ศรีของมนุษย์” มากขึ้นกว่าแต่ก่อน…

สังคมใหม่ของเมืองไทย จะมีการพึ่งพาวิทยาศาสตร์มากขึ้น จะมีการซื้อ - ขายเทคโนโลยีมากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สหรัฐอเมริกายังคงมีบทบาทต่อสังคม วัฒนธรรม และค่านิยมในประเทศไทย ตราบจนสิ้นพุทธศักราช 2642 หรือ ค. ศ. 2099 อย่างแน่นอน (Kelly, 1990)

 

 

 

 

 

บทที่ 3 จิตวิญญาณของคลื่นลูกที่สี่

 

โลกทุกวันนี้ติดต่อสื่อสารถึงกันหมด ราวกับทุกผืนแผ่นดินถูกเชื่อมต่อเข้าหากัน แม้ว่า น้ำจะเป็นปัจจัยที่คอยกันให้แผ่นดินบางส่วนแยกขาดจากกันก็ตามที โลกใบใหญ่ถูกเชื่อมเข้าด้วยกันโดยกลไกของโลกาภิวัตน์ (Globalization)

เมืองไทยจัดเป็นประเทศเล็กในกลุ่มโลกที่ 3 กำลังพัฒนาอย่างช้าๆ แล้วจู่ๆ ก็เหมือนถูกสาป ประเทศไทยของเราแทบล่มสลาย เนื่องจากการขาดสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ ( ปลายปี 1997 ต่อเนื่องถึงปี 1998) อย่างที่รู้กันอยู่

มีคนเคยบอกว่า ถ้าเมืองไทยจะอยู่รอดต่อไป ต้องปิดประเทศชั่วคราว

เลิกติดต่อสัมพันธ์กับใครต่อใครชั่วขณะหนึ่ง นั่นเพื่อให้เรามีเวลาฟื้นฟูสภาพจิตใจ เศรษฐกิจ และยกระดับสังคมให้ดีกว่าที่เป็นอยู่

แต่นั่นคงเป็นเพียงความคิดของคนกลุ่มเล็กๆ

เพราะปัจจุบัน เราไม่อาจปิดประเทศไทยได้

ถ้าปิดก็หมายความว่า เรากำลังปิดรอเวลาตาย ตายอย่างโดดเดี่ยวลำพัง ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

ในความเป็นจริง ถ้าประเทศไทยถึงกับต้องปิดประเทศก็อาจเป็นไปได้ เราคงจะยังอยู่ได้ด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่เรายังพอมีเหลืออยู่ แม้จะไม่ถึงกับเป็นอู่ข้าวอู่น้ำเช่นในอดีต แต่เราก็ไม่ถึงกับขาดแคลนอาหารการกิน ระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเองภายในประเทศ ย่อมมีหนทางเป็นไปได้

แต่คำถามถัดมา คือ เราจะอยู่อย่างไรให้ดีได้ เพราะนิสัยคนไทยในยุคปัจจุบันติดลักษณะของความเป็นคนจมไม่ลงเข้าเต็มเปาเสียแล้ว

ทุกอย่างในชีวิตคนไทย มักอิงระบบของอเมริกันชนจนซึมเข้าไปในสายเลือด

นั่นจึงไม่แปลกที่พวกเราจะเป็นนักบริโภควัตถุ ยึดลัทธิวัตถุนิยมเป็นสรณะ

ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากคลื่นประวัติศาสตร์ของสังคมไทยจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เรากำลังโต้อยู่บนคลื่นลูกที่สี่อย่างเผ็ดร้อน และเมามัน

คลื่นลูกแรกของประวัติศาสตร์ไทยเปิดฉากขึ้นในยุคต้นของกรุงรัตนโกสินทร์

การทำสงครามระหว่างพม่ากับไทยในช่วงเวลานั้น เป็นจุดเริ่มต้นของคลื่นลูกแรก โดยพม่ายกทัพเข้าตีกรุงรัตนโกสินทร์ช่วงสมัยของรัชกาลที่ 1 พม่าบดขยี้ไทยอย่างหนัก แต่ไทยก็สามารถต้านศึกไว้ได้โดยไม่ต้องเสียกรุง แปลว่าสังคมไทยในยุคแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เริ่มเข้มแข็งขึ้นมากกว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยา

คลื่นลูกที่ 2 เริ่มต้นอย่างจริงจังในรัชสมัยของรัชกาลที่ 4 และ 5

ระลอกของคลื่นลูกใหม่กินเวลาเป็นร้อยปี ถือเป็นช่วงที่มหาอำนาจตะวันตก ออกล่าอาณา - นิคมทั่วโลก ทุกประเทศในเอเชียล้วนตกเป็นประเทศในปกครองของคนขาว ยกเว้นประเทศไทย

ผู้ปกครองประเทศสมัยนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระปรีชาญาณอย่างสูง ในการดำเนินแนวทางนำประเทศโดยใช้หลักรัฐศาสตร์การทูต ไม่เช่นนั้น ประเทศไทยคงไม่พ้นตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งตะวันตก เช่นเดียวกับจีน อินเดีย พม่า หรือลาว การเสด็จเยือนมิตรประเทศแถบยุโรปก็ดี รัสเซียก็ดี ถือว่าเป็นเกราะคุ้มกันภัยให้ประเทศไทยได้อย่างดียิ่ง แม้ฝรั่งตาน้ำข้าวอยากยึดครองประเทศไทยใจจะขาด แต่ก็หากล้าหักหาญไม่ ถ้าไม่ใช่เพราะพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมแล้ว จะยกเหตุผลใดมาอ้างให้เห็นจริงได้อีกหรือ

จากนั้นคลื่นลมก็รุมโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง ประเทศชาติเริ่มแปรกระบวนเปลี่ยนทิศทาง เข้าสู่การพัดพาของคลื่นลูกที่สาม นั่นก็คือ บทบาทของกระแสคอมมูนิสต์ที่เข้าครอบงำประเทศในเอเชียจนเกือบครบทุกประเทศ โลกเริ่มแบ่งเป็น 2 ค่ายชัดเจน คือ ค่ายโลกเสรี กับค่ายโลกคอมมู- นิสต์

ในสายตาชาวโลกขณะนั้น ทุกคนเชื่อว่าไทยต้องเป็นคอมมูนิสต์แน่นอน

ในเมื่อลาว เขมร เวียดนามก็เป็นกันหมดแล้ว เป็นไปได้หรือที่ไทยจะยังคงโดดเดี่ยวอยู่ในลักษณะของโลกเสรี

แต่นั่นแหละ … ไทยจนบัดนี้ ก็ยังไม่เคยเป็นคอมมูนิสต์แม้ปลายก้อย

ถึงแม้ว่า เราจะเคยมีพรรคคอมมูมิสต์แห่งประเทศไทยตั้งอยู่ในประเทศก็ตาม

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ??!

ตำตอบแบบกำปั้นทุบดิน คือ ลักษณะโดยรวมของประเทศไทยไม่เอื้อต่อการปกครองในระบอบคอมมูนิสต์

ประเทศไทยและคนไทยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแน่นอน

ยากที่ชาติใดจะเสมอเหมือน

พูดตรงๆ คือ คนไทยถูกมองจากคนต่างชาติ หรือคนที่อยู่นอกประเทศว่า ขี้เล่น ไม่เอาไหน สนุกสนานไปวันๆ เปลี่ยนแปลงไปสู่การพัฒนายาก โลเล ไม่จริงจังกับทุกเรื่อง มีคนไทยส่วนน้อยเท่านั้นที่มีลักษณะตรงกันข้าม

ดังนั้นคนไทยจึงมีลักษณะร่วมของ “ ความหลากหลาย” (Diversity)

ขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางความคิด ซึ่งถ้าเป็นเรื่องอื่น โดยเฉพาะเรื่องการ - พัฒนาประเทศ ลักษณะที่ว่านี้ คงเป็นอุปสรรคต่อการการก้าวข้ามนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญอย่างแน่นอน

แต่ในหลักเกณฑ์ของการปรับตัว (Adaptation) ทางชีววิทยา ความหลากหลายที่ว่า กลับนำไปสู่ความมั่นคง ความยืนยาว สามารถปรับตัวได้เร็วและดี (Good Adaptation)

พม่า เวียดนาม เขมร จัดว่ามีความหลากหลายน้อย จึงปรับตัวไม่ดี ไม่เก่ง กว่าจะปรับตัวได้ก็ถูกฝรั่งยึดไปเสียแล้ว

เคยมีสำนวนในอดีตว่า “ เรียบร้อยโรงเรียนจีน”

สำนวนที่ว่านี้มีที่มาที่ไปชัดเจน ใช่กล่าวอ้างกันขึ้นมาลอยๆ

เรื่องของเรื่องเริ่มตรงที่ว่า คนไทยสมัยก่อนมักส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนจีน เพราะเชื่อกันว่า ถ้าเก่งภาษาจีนก็จะก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เนื่องจากการทำงานสมัยก่อนมักต้องคบหาสมาคมค้าขายกับคนจีน ถ้าพูดภาษาจีนไม่เก่งก็แปลว่า พูดกันไม่รู้เรื่อง นั่นก็จะทำให้ค้าขายกันไม่ได้เรื่องได้ราว

โรงเรียนจีนส่วนใหญ่มักสอนลัทธิเผด็จการ - คอมมูนิสต์เข้าแทรกในบทเรียนด้วยเสมอ

ครูจีนจะมุ่งเน้นการสอนและการปลูกฝัง ความคิดแบบคอมมูนิสต์ให้ลูกศิษย์ในห้องเรียน ด้วยวิธีละมุนละม่อมที่สุด ไม่อยากรู้ไม่อยากเรียน ก็ต้องรู้ก็ต้องเรียนกันไปโดยปริยาย

แต่เรื่องจิ๊บจ๊อยที่ว่านี้ ไม่ได้จะทำให้เมืองไทยเป็นคอมมูนิสต์ไปได้

นั่นเพราะรัฐบาลไทยในยุคนั้น ตระหนักถึงปัญหานี้ดี จึงครุ่นคิดหาวิธีและวางแผนดัดหลังกระบวนการเคลื่อนไหวเพื่อลัทธิคอมมูนิสต์ในไทย

การกลืนชาติจีนในไทยดังกล่าวนี้ กระทำอย่างช้าๆ และแนบเนียน อย่างชนิดที่ว่า ถ้าไม่ไตร่ตรอง “ ถอดรหัส” ให้ดี จะไม่มีทางรู้เลยว่า กำลังถูกทางการไทยล้างสมอง

คมไทยที่เป็นคนไทย เชื้อชาติไทย สัญชาติไทยในเมืองไทยจริงๆ มีอยู่จำนวนน้อย

ส่วนใหญ่เป็นคนไทย เชื้อชาติจีน สัญชาติไทยมากกว่า คนไทยในยุคคลื่นลูกที่สามนี้ - - ส่วนใหญ่ถูกปลูกฝังในโปรแกรมความคิดว่า ตัวเองเป็นคนไทยมากกว่าเป็นคนจีน ขืนมีใครเรียก อาตี๋ อาหมวย ก็ไม่ยอมพูดด้วย เผลอๆ หันไปค้อนและด่าให้อีกต่างหาก ( ถ้าเรียกและบอกว่า - - ทำไมหน้าเหมือนคนญี่ปุ่นจัง นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)

ในเมื่อคนไทยมีนิสัยรักอิสระ ชอบสบายๆ ชีวิตเรื่อยๆ ยังไงก็ได้

ภาษาจีนของคนในยุคคลื่นลูกที่สามในเมืองไทยจึงกระท่อนกระแท่น จนถึงร้ายแรงสำหรับพรรคคอมมูนิสต์ที่สุดคือ พูดภาษาจีนไม่ได้เลย แม้แต่คำเดียว

การปลุกระดมและปลูกฝังลัทธิคอมมูนิสต์ให้คนไทย จึงเป็นเรื่องไม่ “ มีทาง” เป็นไปได้ รวมทั้งไม่มีวันที่จะเป็นไปได้อีกด้วย

กลไกการกลืนชาติ ( จีน) ของรัฐบาลไทยจึงเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจไม่น้อย แม้จะไม่สำเร็จเต็มร้อยในยุคนั้น แต่ก็สามารถสลายกำลังของพรรคคอมมูนิสต์แห่งประเทศไทยได้ จนกระทั่งหมดไปจากเมืองไทยในที่สุด

เมื่อพรรคคอมมูนิสต์สิ้นสุดบทบาทในการควบคุมคนไทย คนไทยจึงเริ่มเข้าสู่ยุคสมัยของคลื่นลูกที่สี่ ซึ่งไม่เคยมีนักวิชาการคนใด สามารถคาดคะเนได้ล่วงหน้าว่าคลื่นยุคที่สี่นี้ จะนำมาซึ่งหายนะและความตกต่ำทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมโดยสิ้นเชิง

เพราะการต่อสู้แข่งขันในคลื่นลูกที่สี่นี้ เต็มไปด้วยปัญหาร้อยแปดพันประการ ที่รอการแก้ - ไขจากรัฐบาล

มีการทำลายล้างอย่างรุนแรงเกิดขึ้นทั้งในเมือง และชนบท

ศัตรูของคลื่นลูกที่สี่นี้ คือ ความเห็นแก่ตัวของคนไทยเอง ซึ่งพลิกผันนำไปสู่ ปรากฏ - การณ์ทำลายตัวเอง

ชนบทถูกทำลาย

สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย

วัฒนธรรมถูกทำลาย

คนไทยในยุคก่อนสหัสวรรษ 2000 เป็นช่วงหนึ่งที่ถือว่ามีการทำลายล้างสูงมาก

จิตวิญญาณของคนไทยในช่วงต้นยุคนี้ ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยเรื่องของ - -

หายนะทั้งหลายทั้งปวงจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และส่งผลกระทบไปหมดทั่วทุกหย่อมหญ้า เช่น ราคาน้ำดื่มขวด 1 ลิตร แพงกว่าน้ำมันไร้สารตะกั่วในปริมาณเท่ากัน ( ควรหันมาดื่มน้ำมันแทนน้ำได้แล้ว)

จิตวิญญาณของคนไทยในยุคคลื่นลูกที่สี่จึงหยาบกระด้าง ไม่ปราณีต เน้น “ ปริมาณ” มากกว่า “ คุณภาพ”

โดยที่ทุกคนทำงานแข่งกับเวลา ไม่มีเวลาเหลือแบ่งให้สำหรับครอบครัว

คนที่อยู่ในยุคนี้ส่วนใหญ่ จะเป็นคนที่มีคุณภาพ มีความรู้ ความสามารถ ( จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2540 มีคนไทยจบการศึกษาระดับปริญญาเอกมากกว่า 50,000 คน ปริญญาโทมากกว่าแสนคน) แต่ปัญหาสำคัญ คือ มักใช้สิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในตัวเองไม่เป็น หลงติดในวัตถุ มองการกระทำของผู้อื่นมากกว่าจะไตร่ตรองถึงการกระทำของตนเอง จิตวิญญาณของคนในคลื่นลูกที่สี่ จึงแปรเปลี่ยนไปในทางลบ จนกระทั่งลืมที่จะคิดถึง ความรู้สึกของคนอื่น ปราศจากความเอื้ออาทรต่อสังคม และการพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

 

ภายหลังวันที่ 1 มกราคม 2542 จิตวิญญาณของคนไทยจะแปรเปลี่ยนไปในทางที่มีการพัฒนามากกว่าเดิม นั่นเป็นเพราะเราได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรงในช่วง ปลายปี 2540 - ก่อนเข้าสู่สหัสวรรษ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือ นิสัยฟุ่มเฟือยของคนไทยหายไปโดยสิ้นเชิง

ทุกบุคคล ทุกครัวเรือนต่างดำรงชีพอย่างประหยัด อดออม และกระเบียดกระเสียร ซึ่งถือว่าเป็นอานิสงส์ที่เกิดจากการตกต่ำของระบบเศรษฐกิจในประเทศไทย ไม่เช่นนั้น คนไทยคงจะยังวนเวียนอยู่ แต่ในลัทธิวัตถุนิยม ที่โลกตะวันตกส่งมามอมเมาให้หลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้น

น่าสงสัยและควรให้ความสนใจมากว่า … จิตวิญญาณในเรื่องของการบริโภควัตถุอย่างฟุ่มเฟือยนั้น เกิดขึ้นจริงแล้วหรือ?

คนไทยมีนิสัยช่างประหยัด อดออม จริงแล้วหรือ ?

หรือทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำเท่านั้น

ควรหรือยังที่ว่าในสหัสวรรษใหม่ คนไทยจะละทิ้งความฟุ่มเฟือยอย่างจริงจัง

นิสัยการประหยัดอดออมจะได้ถูกฝังลึกอยู่ในสายเลือดจริงๆ

ปี 2000 คนไทยจะใส่ใจต่อ ระบบการศึกษามากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะคนไทยเริ่มตระหนักชัดแล้วว่า การศึกษาเท่านั้น จะนำพาให้ประเทศพัฒนาไปในทางที่ถูกที่ควร

เราไม่อยากให้ประชาชนไทยรอของแจก รออาหาร รอเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มที่คนมีมากกว่าหยิบยื่นให้เป็นครั้งคราว

แต่เราอยากให้คนไทยรู้จักผลิตอาหารเอง ผลิตเครื่องนุ่งห่มเอง สามารถสร้างที่อยู่อาศัยได้อย่างเข้ากันได้ดีกับลักษณะภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการมีสุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี เมื่อนั้นยารักษาโรคก็ไม่จำเป็นสำหรับคนไทยอีกต่อไป

จิตวิญญาณของคลื่นลูกที่สี่ น่าจะเป็นจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง พร้อมจะเผชิญหน้ากับทุกปัญหา ช่วยกันพัฒนาประเทศไปในทิศทางที่ควร

อยากให้คนไทยระลึกเสมอว่า - - การพัฒนา หรือ การเจริญในเรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ และสวัสดิการทั้งหลายทั้งปวง จะเจริญหรือพัฒนาในรูปแบบของปัจเจกบุคคลย่อมเป็นไปไม่ได้

ไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งหรอกที่จะมีชีวิตที่ดี เลิศเลอในขณะที่คนรอบข้าง หรือสังคมส่วนรวมย่ำแย่ ทุกคนในประเทศต้องมีการพัฒนาไปพร้อมกัน - - ในช่วงศตวรรษที่ 21 คนไทยจะแกร่งในความเป็นไทย และเข้าใจในความเป็นสากลมากขึ้น

แน่นอนในปี 2000 รัฐบาลต้องทำงานหนัก ควบคู่ไปกับการเอาจริงเอาจังของภาคเอกชน

รัฐบาลต้องเพิ่มความคิดให้มากก่อนจะลงมือกระทำสิ่งใด

เราไม่อาจย้อนไปเป็นผู้นำทางอุตสาหกรรม ( อย่างที่เราเคยคิดในอดีต) ได้อีกแล้ว

เราต้องเป็นผู้บุกเบิกทางเกษตรกรรม ภาคอาหาร และผลิตภัณฑ์ทางเกษตร

เมื่อนั้นเราจึงสามารถไปต่อรองกับพลโลก บนเวทีโลกได้

เกาหลีพูด อเมริกาต้องหยุดฟัง เพราะเกาหลีเป็นที่ตั้งของฐานทัพอเมริกาในภูมิภาคเอเชีย

อินโดนีเซียพูด อเมริกาต้องหยุดฟัง เพราะอินโดนีเซียมีประชากรมากกว่า 200 ล้านคน เป็นแหล่งค้าขายใหญ่โตแห่งหนึ่งของมะกัน

อินเดียที่ดูเหมือนย่ำแย่กว่าไทย พูดคราวใด โลกต้องฟัง

เพราะอะไร ?

ก็เพราะอินเดียที่ดูทรุดโทรม มีระเบิดนิวเคลียร์เป็นเครื่องต่อรอง

แต่ไทยพูด - - ไม่มีใครเงี่ยหูฟัง เพราะไทยไม่มีเครื่องมืออันศักดิ์สิทธิ์เป็นฐานในการต่อรอง

ถึงเวลาแล้วที่ปี 2000 รัฐบาลไทย และคนไทยต้องพัฒนาประเทศไปในทิศทางเดียวกัน ดึงส่วนดีของนิสัยคนไทยออกมาใช้ พัฒนาโครงสร้างระบบการศึกษาทั้งระบบ - - เปลี่ยนจากค่านิยมในการซื้อเทคโนโลยีเป็นการวิจัย ค้นคว้า พัฒนาด้วยฝีมือคนไทยเอง

นั่นจะทำให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

และจิตวิญญาณของคนไทยในยุค 2000 จะมีแต่ความเข้มแข็งที่ปัญหาใดก็ไม่อาจทำให้เรารู้สึกหวั่นไหวหรือสะทกสะท้านได้อย่างแน่นอน