จรรยาบรรณของนักวิทยาศาสตร์

วีรวัฒน์ กนกนุเคราะห์

คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

needfulstamp2005@hotmail.com

 

 

งานทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดทุกสาขาทุกแขนง ล้วนแต่ต้องมีการทำการทดลองแทบทั้งสิ้น นักวิทยาศาสตร์กับการทดลองจึงเป็นของคู่กัน แยกกันไม่ออก เหมือนปลาต้องอยู่กับน้ำ… ฉันใดฉันนั้น… วิทยาศาสตร์จึงต้องคู่กับการทดลอง (experimentation) เสมอ !!

การทดลองทางวิทยาศาสตร์ ต้องดำเนินไปตามระเบียบวิธี มีการสร้างปัญหา ตั้งสมมติฐาน ทุกอย่างต้องเป็นไปตามระเบียบแบบแผนของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (scientific method) และแม้จะได้ผลออกมาแล้ว การทดลองนั้นก็จำเป็นต้องทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะแน่ใจได้ว่าการทดลองนั้นถูกต้อง น่าเชื่อถือ จึงมีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรตามแบบแผนของการเขียนบทความทางวิทยาศาสตร์

บางครั้งการทดลองก็ได้ใช้สารเคมี อุปกรณ์เครื่องแก้ว เครื่องปฏิกรณ์ปรมาณู เครื่องฉายรังสี ปืนยิงยีน นั่นก็คงไม่มีปัญหา เพราะสิ่งที่กล่าวในเบื้องต้นนี้ มิได้มีชีวิต จิตใจ ไม่ถือเป็นสิ่งมีชีวิต ( living thing) แต่อย่างใดจนกว่าการทดลองต้องมีการทดสอบปฏิกิริยากับสิ่งมีชีวิต นักวิทยาศาสตร์จึงจำเป็นต้องก่อกรรมทำเข็ญกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ซึ่งในส่วนของคุณูปการท่านก็รับไป แต่เรื่องกรรมเลวที่เกิดจากการเบียดเบียนสัตว์อื่น ท่านก็หนีไม่พ้น จำเป็นต้องรับไปเช่นกัน

จากการศึกษาในเรื่องวิทยาศาสตร์มาแต่เล็กแต่น้อย ไม่เคยเห็นนักวิทยาศาสตร์คนไหนทำการทดลองทางชีววิทยาแล้วไม่ต้องเบียดเบียนสัตว์เป็นไม่มี เท่าที่รำลึกได้ ก็คงมีแต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากระมังที่แม้ต้องทำการทดลอง ก็ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น แต่ใช้ร่างกายของตนเองเป็น “ หนูทดลอง” โดยตรง เช่น การบำเพ็ญเพียร การทรมานร่างกายโดยการอดอาหาร บำเพ็ญทุกขรกิริยาด้วยร่างกายของตนเองเป็นสำคัญ เมื่อค้นพบ “ อริยสัจ 4” เรียบร้อยแล้ว ก็ยังทรงนำมา “ โปรดสัตว์” ให้บัวเหล่าต่าง ๆ ได้รับความรู้อีกโสตหนึ่งด้วย…

พระพุทธเจ้าจึงทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง หลังทดลองเสร็จ ก็ยังเผยแพร่ความรู้ให้ผู้อื่นโดยไม่มีปิดบังอำพราง ถ้าเปรียบกับปัจจุบัน ขั้นตอนของพระพุทธเจ้าในการเสด็จดำเนินไปในทุกหนทุกแห่งเพื่อสอนสั่งสรรพสัตว์ให้หลุดพ้น และบรรลุนิพพาน ก็น่าจะเทียบได้กับการที่นักวิจัยเขียนบทความวิจัยเพื่อนำลงตีพิมพ์เผย แพร่ในวารสารวิจัยชั้นนำต่าง ๆ นั่นเอง…

ประเด็นสำคัญอยู่ตรงเรื่องของ “ หนูทดทอง” และ “ การเขียนบทความวิจัย เพื่อนำลงตีพิมพ์เผยแพร่” สองปัจจัยนี้ถือเป็นสิ่งที่ท้าทายจริยธรรมของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก

ในฐานะที่เราได้ศึกษา วิจัย ค้นคว้าและติดตามความคืบหน้าของประเด็นชีวจริยธรรม (bioethics) เราจึงเห็นว่าเรื่องสองสามเรื่องนี้มีความผูกโยงเชื่อมต่อกันอย่างน่าอัศจรรย์ !!! ลองอ่านเรื่องต่อไปนี้ดู….

ถ้าผู้ใดมีฟาร์มกุ้ง และเพาะพันธุ์กุ้งขาย เมื่อนำไปเพาะเลี้ยงต่อหรือเพื่อการบริโภคก็สุดแท้แต่… ถ้าคุณต้องการปริมาณไข่กุ้งมาก ๆ มีเคล็ดลับอย่างหนึ่งที่สำคัญ คือ ให้ดีดตากุ้งตัวเมียให้บอดทั้งสองข้าง แล้วก็จะได้ไข่กุ้งเป็นสิ่งตอบแทน ที่เป็นเช่นนี้เพราะฤทธิ์และปริมาณของฮอร์โมนแปรผันตามการตาบอดของกุ้ง ?!

มีนักวิจัยหญิงผู้หนึ่ง ได้วิจัยเรื่องนี้มาโดยใช้เวลาต่อเนื่องนานเป็นแรมปี นักวิจัยผู้นี้ ดีดตากุ้งทุกตัวในงานวิจัยให้บอด เพื่อดูปฏิสัมพันธ์ระหว่างการตาบอดของกุ้งกับปริมาณฮอร์โมนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลิตไข่…. ปรากฏว่า นักวิจัยท่านเดิมนี้ ตั้งครรภ์ 2 ครั้ง คลอดบุตรสาว 2 คน ทั้งคู่ตาบอดทั้งสองข้าง

นี่คือ “ กรรมติดจรวด” ที่เกิดจาก “ หนูทดลอง” (กุ้ง)

 

 

 

 

 

มีต่อ

จรรยาบรรณของนักวิทยาศาสตร์

(ต่อ)

 

 

จะมีใครเคยนั่งว่าง ๆ แล้วคิดถึงประเด็นเหล่านี้ว่า กำลังสร้างความท้าทายในเรื่องของชีวจริยธรรมมากน้อยเพียงไร … อาทิ

กว่าจะได้สารเคมีสักเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการจากไข่ไก่มาเป็นลูกเจี๊ยบ และไก่ตัวโตเต็มวัยนั้น ต้องทำลายไข่ไก่ไปกี่ฟอง ? และลูกเจี๊ยบตายไปกี่ตัว?

เอียน วิลมุต เป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกของโลกที่สามารถทำโคลนนิงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสำเร็จ ซึ่งก็คือ “ แกะดอลลี” นั่นเอง แต่เคยคิดไหมว่ากว่าจะมาถึงขั้นตอนนี้ เอียน วิลมุต ได้ลงมือ “ ฆ่า” หรือ “ ทรมาน” “ หนูทดลอง” ไปทั้งสิ้นกี่ตัว?

แล้วไหนยังจะ “ แกะทดลอง” อีก เขา “ เบียดเบียน” แกะจำนวนกี่ตัว?

มีใครเคยคิดแบบเราบ้างไหม !?!

เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการทดลองเพาะอวัยวะมนุษย์บนหลังหนู ที่ทำสำเร็จเป็นข่าวครึกโครม คือ การปลูกหูของมนุษย์จริง ๆ ขึ้นบนหลังหนูได้สำเร็จ แว่วว่าจะขยายไปปลูกอวัยวะอื่น ๆ อีก เพื่อเตรียมการไว้เป็น “ อะไหล่มนุษย์” ในโลกอนาคต

มีใครสักคนเคยฉุกใจคิดบ้างไหมว่า กว่าจะถึงขั้นตอนนี้ หนูเจ็บไปกี่ตัว ? ตายไปกี่ตัว? และกำลังรอความตายอยู่อีกกี่ตัว!?!

“ หนูทดทอง” ประเภทหนึ่งคือ “ หนูไร้ขน” ซึ่งมีไว้เพื่อการทำการทดลองเกี่ยวกับมะเร็งโดยเฉพาะ หนูไร้ขน ผิวยู่ย่นพวกนี้มีผิวหนังและร่างกายที่มีลักษณะพิเศษคือ ยอมให้มะเร็งมีพัฒนาการได้ในทุกส่วน เท่าที่นักวิทยาศาสตร์ต้องการ

จริงอยู่ มันเป็นเพียง “ หนูทดทอง” เคยคิดไหมว่า มันเจ็บปวด ทุกข์ทรมานเพียงใด แล้วกว่ามันจะตาย คุณอาจหุบยิ้ม ถ้าเป็น “ คุณ” “ ทดลอง”

นี่คือ คำถามเพื่อนำไปสู่ความตระหนักในจริยธรรมของนักวิทยาศาสตร์ รวมไปถึงคำถามที่อยากทราบว่า ตรงไหนคือจุดแห่งความพอดี และตรงไหนจึงจะเรียกว่าการก้าวล่วงผ่านพรมแดนเข้าสู่การละเมิดสิทธิแห่งชีวจริยธรรม คุณตอบได้หรือไม่ ?!

และเมื่อทดลองหรือวิจัยสำเร็จแล้ว ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการเขียนบทความวิจัย เพื่อนำลงตีพิมพ์เผยแพร่ ถ้าคุณเป็นคนทำทุกอย่าง กระทั่งผลงานของคุณถูกตีพิมพ์ไปแล้ว แต่วันใดวันหนึ่ง… ผลงานในรูปแบบบทความวิจัยของคุณถูก “ มือดี” ลอกไปดัดแปลงบางส่วน พร้อมกับใส่ชื่อลงไปเป็นของเขาผู้นั้น คุณจะทำอย่างไรต่อไป !?!

รู้สึกหรือยังว่า จริยธรรมของนักวิทยาศาสตร์เป็น “ สิ่ง” สำคัญ !!!

ดังนั้น จรรยาบรรณ หรือ ข้อกำหนดในการทำความดีของนักวิทยาศาสตร์จึงมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือการมีความสุจริต ซื่อตรงต่อวิชาชีพ ซึ่งใช่ว่าจะทำได้ง่าย เหมือนเขียน เพราะตัวเรามีความเชื่อว่า คนจะดีหรือเลวนั้นมันเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวของคนคนนั้น อาจบอก แนะนำหรือสอนสั่งกันได้บ้างแต่ไม่ทั้งหมด

อย่างไรก็ดี จะขอบันทึกจรรยาบรรณที่นักวิทยาศาสตร์พึงมีไว้ ณ ที่นี้ เพื่ออาศัยแนวทาง แนวปฏิบัติ โดยอ้างอิงจากคณะทำงานยกร่างจรรยาบรรณนักวิจัย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ดังนี้

1. นักวิทยาศาสตร์พึงมีความซื่อตรงและซื่อสัตย์ในทางวิชาการ

2. นักวิทยาศาสตร์ต้องมีความรับ “ ผิด” “ ชอบ” ต่อสิ่งที่ศึกษาวิจัย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ พืช ครอบคลุมไปถึงวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมทั้งหลาย

3. นักวิทยาศาสตร์ต้องมีพื้นความรู้ดีพอในเรื่องที่วิจัย

4. นักวิทยาศาสตร์ต้องรับผิดชอบต่อพันธกรณีกับหน่วยงานหรือองค์กรที่สนับสนุนการวิจัย

5. นักวิทยาศาสตร์ต้องไม่มีความลำเอียง หรืออคติในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์และตีความข้อมูล รวมทั้งมีความอิสระทางความคิด

6. นักวิทยาศาสตร์ต้องมีคุณธรรม และเคารพศักดิ์ศรีของเพื่อนมนุษย์ที่เป็นตัวอย่างในการวิจัย

7. นักวิทยาศาสตร์ต้องมีใจกว้าง รับฟัง และเคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อื่น

8. นักวิทยาศาสตร์พึงนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทางที่ชอบ

9. นักวิทยาศาสตร์ต้องมีสำนึกต่อสังคมและประเทศชาติ

ทั้งหมดนี้ คือ จรรยาบรรณที่นักวิทยาศาสตร์ “ ต้อง” ทำงานของตนให้อยู่ภายในกรอบขอบเขตที่สร้างสรรค์ และไม่เบียดเบียนชีวิตของเพื่อนมนุษย์คนอื่น รวมทั้งสิ่งมีชีวิตด้วย

มีต่อ

จรรยาบรรณของนักวิทยาศาสตร์

(ต่อ)

งานทางวิทยาศาสตร์ เป็นงานที่ต้องอาศัยความรู้ความชำนาญในระดับสูง รวมทั้งยังต้องมีความละเอียดอ่อน พร้อมกับมีความเสียสละทั้งแรงกาย แรงใจ รวมถึงเวลาในการทำงานอย่างหนักอีกด้วย

แม้ว่าในทางวิชาการและทางปฏิบัติจะมีบทบันทึกเกี่ยวกับจรรยาบรรณทางวิชาชีพอยู่แล้วก็ตาม แต่ตัวนักวิทยาศาสตร์เองก็จำเป็นต้องมีสำนึกและมีจรรยาบรรณประจำใจอยู่ในตัวเองด้วย ในบางเรื่อง ต้องเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่สามารถรู้สึกได้เองทางจิต ไม่จำเป็นต้องมีคนคอยบอกหรือคอยสอน อาทิ เรื่องการเขียนโครงเรื่องเพื่อขอทุนวิจัย นักวิทยาศาสตร์เองต้องรู้ดีว่าขณะนี้มีใครทำเรื่องที่ตนเองสนใจอยู่บ้าง ถ้าทราบอยู่แก่ใจ เราก็ไม่ควรเขียนโครงเรื่องที่ซ้ำซ้อนกับคนอื่น เราควรให้โอกาสแก่ผู้บุกเบิก หรือผู้ริเริ่ม มีโอกาสได้รังสรรค์งานวิจัยของเขาอย่างเต็มที่ การแข่งขันในทางสร้างสรรค์เป็นเรื่องดี แต่อย่าลืมจรรยาบรรณ เพราะสุดท้ายแล้ว นักวิทยาศาสตร์ทุกคนในทุกแขนงย่อยของวิทยาศาสตร์ ต่างก็เป็นเพื่อนร่วมงานกันทั้งสิ้น อาจมีความแตกต่างกันบ้างทางด้านภาษา และวัฒนธรรม แต่ทุกคนล้วนทำงานเพื่อประโยชน์โดยส่วนรวมของมนุษยชาติ หากแต่มีใครคนใดคนหนึ่ง ทำงานด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่างจากนี้ เขาผู้นั้นก็จะได้รับผลกรรมสนองตามจุดประสงค์แห่งความเลวร้ายตามที่เขาได้ตั้งใจทำ นั่นเอง

ในโลกอนาคตอันใกล้นี้ วิทยาศาสตร์ชีวภาพจะมีบทบาทในการกำหนดชีวิตของมนุษย์มากขึ้นกว่าเดิม นั่นคือ ต่อไปประชากรโลกทุกคนอาจต้องพกบัตรประจำตัวแบบสมาร์ทคาร์ดที่ภายในบรรจุข้อมูลลับพิเศษของบุคคลผู้นั้นไว้ ถ้าคนที่เก็บได้โดยบังเอิญเป็นคนที่ไร้ซึ่งจรรยาบรรณ เจ้าของบัตรสมาร์ทคาร์ดนั้นก็อาจตกอยู่ในสภาวะอันอาจเป็นอันตรายกับตนเองได้ เพราะข้อมูลทางพันธุกรรมหลายเรื่องเป็นข้อมูลที่ต้องปกปิด เจ้าตัวคนเดียวเท่านั้นที่รู้เรื่องของตัวเองดีที่สุด ดังนั้นบัตรดังกล่าวจะมีลักษณะเหมือนดาบสองคม เช่นเดียวกับเรื่องของเทคโนโลยีทั้งหลายคือถ้าใช้ดีก็จะเกิดคุณอนันต์ ถ้าใช้ไม่ดีก็จะเกิดโทษมหันต์เช่นกัน

ในโลกปัจจุบันนี้ เป็นโลกที่อุดมไปด้วยข้อมูลข่าวสารและการใช้การโฆษณาประชาสัมพันธ์เป็นเครื่องมือในการทำสงครามจิตวิทยา คนที่ขาดจรรยาบรรณในจิตใจและวิชาชีพ สามารถสร้างความร่ำรวยให้แก่ตนเองได้โดยการขโมยข้อมูลของผู้อื่นจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็นนัก ดังนั้นการเก็บข้อมูลต่างๆของตนเองอันเกี่ยวข้องกับบัตรเครดิตไว้ในที่ปลอดภัยจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องกระทำเป็นอย่างยิ่ง

ณ ปัจจุบันสมัยนี้ นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังตื่นเต้นกับความสำเร็จในเรื่องของ โครงการศึกษาจีโนมในมนุษย์ (human genome project) ซี่งในข้อดีคือ ต่อไปเมื่อมนุษย์ป่วยเป็นโรคใดๆอันเป็นผลจากอิทธิพลของพันธุกรรม เราก็สามารถรักษาด้วยการสอดใส่ยีนเด่นชิ้นใหม่เข้าไปในผู้ป่วย ใครคนนั้นก็จะหายป่วยในทันที แต่การทราบจีโนมของมนุษย์ในทุกยีนทุกโครโมโซมก็เปิดโอกาสให้มีการโจรกรรมข้อมูลเพื่อใช้ในการจัดการกับผู้อื่นได้โดยวิธีการอันแยบยลทางวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกัน เมื่อนั้นนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ดีก็จะคิดว่าตนเองมีบทบาทอยู่เหนือพระเจ้า จะทำการใดๆ เหนือธรรมชาติก็ย่อมทำได้...เมื่อนั้น สังคมโลกอาจเรียกร้องโหยหาจรรยาบรรณของนักวิทยาศาสตร์กันมากขึ้น แต่ถึงเวลานั้นทุกอย่างอาจสายเกินไปเสียแล้ว

ท้ายสุดนี้ เราอยากจะสรุปว่า แม้แต่ พระพุทธเจ้าจะทรงดื่มน้ำ ยังทรงใช้เครื่องกรองน้ำชนิดพิเศษ เพื่อกรองเอาจุลชีพที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าออกก่อนดื่ม ทรงละเอียดอ่อนเช่นนี้ เนื่องเพราะต้องการหลีกเลี่ยงกรรมโดยการ พยายามละจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต นี่คือ ความมีจริยธรรมของพระพุทธองค์

แล้วทุกเช้าที่คุณแปรงฟัน เคยฉุกคิดบ้างไหมว่า คุณกำลังเบียดเบียนใครอยู่?????

 

ScienceBOOKMARK

Who did it? (Scientific Mystery)

ผู้แต่ง หลายคนแต่ง

ISBN …………………………………….

จำนวนหน้า 188 หน้า

Who did it? เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นชั้นยอดจากผลการประกวดรางวัล เนชัน บุคส์ อวอร์ด ครั้งที่ 2 พิมพ์โดยสำนักพิมพ์เนชัน บุคส์ ในเดือนเมษายน 2549 โดยการประกวดนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง เนชัน บุ๊คส์ สวทช. และดูปองท์ ประกอบด้วยเรื่องสั้นรางวัลทั้งหมด 4 เรื่อง เรื่องสั้นสร้างสรรค์ 1 เรื่อง เรื่องสั้นทั้งหมดทุกเรื่องเป็นเรื่องในจินตนาการที่มีพื้นฐานอยู่ภายใต้ข้อมูลและข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ มีการดำเนินเรื่องอยู่ในมุมมองที่เกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนเพื่อคลี่คลายคดีที่มีรายละเอียดน่าพิศวง ชวนติดตามทั้งยังก่อให้เกิดความอยากกระหายใครรู้ในเนื้อเรื่องทั้งหมด เนื้อหาเหมาะสมต่อนักเรียน นิสิตนักศึกษา และผู้ใหญ่ที่สนใจนิยายแนววิทยาศาสตร์ทุกเพศทุกวัย

จากเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ มีจุดประสงค์ให้นักอ่าน รวมทั้งนักอยากเขียนตระหนักถึงความสำคัญของจินตนาการ ซึ่งเป็นสิ่งที่กำหนดทิศทางแห่งความเป็นไปได้ในอนาคตสมัย …

 

กลับขึ้นด้านบน